การระบาดของโรคโควิด-19ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเดินทางและท่องเที่ยว ล่าสุด องค์การการท่องเที่ยวโลกเตือนว่าวิกฤตสาธารณสุขครั้งนี้อาจทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกหายไปมากถึง 80% ในปีนี้ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้คนตกงานอย่างน้อย 100 ล้านคนด้วยกัน แต่อุตสาหกรรมเดินทางและท่องเที่ยวโลกจะเลวร้ายตามคำเตือนหรือไม่ ติดตามได้จากรายงานของซีเอ็นเอ็น
เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น นำเสนอรายงานว่าด้วยอนาคตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางในยุคไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ที่ภูมิภาคเอเชียอาจให้คำตอบได้ว่าจะเป็นอย่างไร โดยระบุว่า ทุกประเทศทั่วโลกกำลังหาทางพลิกฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวที่บอบช้ำอย่างหนักจากมาตรการล็อกดาวน์ ควบคุมการเดินทางของทุกประเทศ เพราะการระบาดของโรคโควิด-19
อย่างกรณี "นิวซีแลนด์" และ "ออสเตรเลีย" รับปากทำ "ระเบียงท่องเที่ยว" (Travel Bubble) เปิดช่องการเดินทางระหว่างกันเมื่อปลอดภัยมากพอ ส่วนจีนก็เริ่มอนุญาตให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ แม้ยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนไทยก็เตรียมทำรีสอร์ทพิเศษเป็นเขตกักกันสำหรับต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวไทย
ข้อเสนอทำระเบียงท่องเที่ยวของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่พำนักอยู่ภายในทั้งสองประเทศสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปมาได้อย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องมีการกักตัว ซึ่งเขตระเบียงการท่องเที่ยวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว เศรษฐกิจการค้า รวมถึงด้านการขนส่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้จะทำโครงการริเริ่มใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าการเดินทางจะกลับไปเหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และแม้การเดินทางกลับไปเป็นเหมือนก่อนเกิดการระบาดได้จริง แต่การเดินทางอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ประเทศริมทะเลบอลติก 3 แห่งได้แก่ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ประกาศเปิดให้คน 3 ประเทศเดินทางไปมาหาสู่กันได้ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. เพราะประเทศส่วนใหญ่ไม่สามารถปิดประเทศได้นานๆ ต่อไปทุกประเทศต้องทำ Travel Bubble ของตัวเองไม่ช้าก็เร็ว
“มาริโอ ฮาร์ดี” ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)ของสมาคมเดินทางเอเชียแปซิฟิก (พาตา) องค์กรไม่หวังผลกำไร มีฐานปฏิบัติการในไทย กล่าวว่า เวียดนามและไทยกำลังหาทางทำระเบียงท่องเที่ยวระหว่างกันในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ขณะที่นักวิเคราะห์ด้านการบินอย่าง “เบรนดัน โซบี” คาดการณ์ว่า ยุโรปและอเมริกาเหนือจะทำข้อตกลงแบบเดียวกันนี้ เมื่อประเทศต่างๆ จะจับคู่ ก็มีปัจจัยบางอย่างให้ต้องพิจารณา ได้แก่ 1.ต้องอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน 2.คุมการแพร่ระบาดของโรคได้ 3.มีสถิติที่เชื่อถือได้
“เบนจามิน ลาควินโต” นักภูมิศาสตร์การท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง มองว่า การจับคู่ต้องดูประเทศที่มีความสัมพันธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์แข็งแกร่งด้วย ซึ่งในเอเชียคำถามใหญ่อยู่ที่จีน ซึ่งเป็นตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศใหญ่สุดของโลก
"บิลล์ บาร์เน็ตต์" กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษาซี9 โฮเทลเวิร์กส์ อ้างผลสำรวจที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนอยากไปในที่ที่ตนรู้จักและไม่ไกลมากนัก หมายความว่า ประเทศไทยที่มีคนจีนเดินทางมาเที่ยวปีละราว 11 ล้านคน อาจเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่เปิดรับการท่องเที่ยวจีน
"เฟรยา ฮิกกินส์ เดสบิโอลส์" อาจารย์อาวุโสจากมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย ผู้ทำวิจัยเรื่องการท่องเที่ยวเสริมว่า จีนอาจไม่สนใจเปิดการท่องเที่ยวกับประเทศที่มีความรู้สึกต่อต้านจีนในช่วงเกิดโรคระบาด เช่นออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม Travel Bubble ก็เป็นแนวคิดที่มีความสุ่มเสี่ยง เพราะถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดติดเชื้อขึ้นมาอีกครั้ง ระเบียงท่องเที่ยวนี้ก็ต้องปิดตัวลง และคงอีกนานกว่าการเดินทางนอกบับเบิลจะเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าการเดินทางจากสหรัฐไปเอเชียต้องใช้เวลา